ในที่สุดก็กล้าหาญลงสนามจริง 10 กิโลเมตรครั้งแรก ตัดสินใจสมัครทั้งที่ยังไม่เคยเดินวิ่งได้ระยะทาง
10 กิโลเมตรมาก่อนสักครั้ง ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน คนอื่นทำได้เราต้องทำได้
เสียเงินสมัครเรียบร้อย จริงจังล่ะทีนี้ เริ่มซ้อมเดินบ้างวิ่งบ้าง ตอนเย็นวันละ 3 - 5 กิโลเมตร ส่วนมาก
เป็นการเดินมากกว่า ยังไงก็ต้องเดินไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันจริงกัดฟันเดินรอบสนามกีฬา 10 กิโลเมตร ได้ 2 ครั้ง ปลื้มใจมากเหมือนกับว่าได้ลงสนามจริงแล้ว คิดว่าเราต้องเข้าเส้นชัยได้แน่และคงไม่ใช่เข้าเส้นชัยเป็นสุดท้ายแน่นอน
แล้ววันจริงก็มาถึง ด้วยความมุ่งมั่นออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4ครึ่ง ถึงงานตี 5 ครึ่ง ไปรับเสื้อเบอร์เสร็จ
ยังไม่ทำอะไรขอถ่ายรูปก่อนให้ชื่นใจ
การซ้อมกับการลงสนามจริงคนละความรู้สึกกันเลย ตอนซ้อมเบื่อหน่าย คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะครบ 10 กิโลเมตรสักที สนามจริงมีเพื่อนร่วมทางมากมาย สถานที่แปลกใหม่ วิวทิวทัศน์ร่มรื่น ความเบื่อหน่ายไม่มีจะมีก็แต่ความเมื่อย แล้วก็ความฮึดที่จะไม่ยอมเป็นคนสุดท้าย
งานนี้ได้บทเรียนสำคัญสำหรับนักวิ่งมือใหม่อย่างเรา ว่าอย่าบ้าตามคนอื่น เห็นเขาวิ่งอย่าวิ่งตาม ต้องรู้จักประมาณตนเอง ไม่งั้นจะไปไม่ถึงเส้นชัยเพราะจะบาดเจ็บซะก่อน เหมือนกับที่เราบ้าวิ่งตั้งแต่เริ่มต้นปล่อยตัวจากจุดสตาร์ท วิ่งไปได้ไม่ถึงกิโล รู้สึกปวดหน้าแข้งมากจนต้องหยุดเดิน เดินก็เจ็บมากคิดในใจเราจะไปรอดมั้ย ใจสู้เดินไปเรื่อยๆ พอถึงกิโลเมตรที่ 3 แปลกใจทำไมหายปวดได้ทั้งที่ตอนแรกปวดมาก ก็เดินต่อไปอีกพักเริ่มลองวิ่ง สลับเดิน คราวนี้ไม่ปวดแล้ว พอมั่นใจว่าไปต่อได้ไม่ปวดแน่ ก็เดินๆ วิ่ง ๆ จนเข้าเส้นชัยได้ ย้อนคิดดูแล้วที่ปวดคงเพราะเรายืดเส้นไม่พอ วอร์มน้อย รีบวิ่งเลย ทำให้ปวดเส้น พอเดินวอร์มถึงจุดเส้นยืดดีแล้วจึงหายปวด
เข็ดแล้วจ้า ต่อไปไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
นักวิ่งแฟนซี นางแบบปลาทู สีสันของงาน
หมีน้อยน่ารักขอป้าถ่ายรูปด้วย หมีเห็นป้าแก่ไม่ค่อยสนใจป้าเลย
ในที่สุดเราก็ทำได้ วิ่ง 10 กิโลเมตร
ปลื้ม และ ปลื้ม และปลื้ม
วิ่งเสร็จกินอาหารอิ่มแปร้ แถมรับของแจกกลับบ้านเพียบ ความสุขเล็ก ๆ จากการวิ่ง
ครั้งแรกเวลาเท่านี้ก็ไม่ขี้เหร่นะ ปลื้มใจจริงๆ นี่ละมั้งที่ทำให้คนหลงไหลการวิ่ง